“ปูติน” ลั่นไม่จุ้นกองทัพ ฮังการีวอนยูเครนเปิดเจรจา

เมื่อวันที่ 31 ก.ค. นายวลาดิเมียร์ ปูติน ประธานา ธิบดีรัสเซีย ให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนถึงจุดยืนของรัฐบาลรัสเซียต่อสถานการณ์ความขัดแย้งในยูเครน โดยนายปูตินกล่าวจำแนกเป็นข้อๆว่า 1.รัสเซียพร้อมที่จะรับมือสถานการณ์ต่างๆที่อาจเกิดขึ้นกับองค์การสนธิสัญญาแอตแลนติกเหนือ (NATO) รัสเซียอยากที่จะหลีกเลี่ยงการเผชิญหน้าด้วยอาวุธกับชาติตะวันตก แต่ก็คิดไว้เสมอว่าสถานการณ์เลวร้ายที่สุดก็อาจเกิดขึ้นได้ ขอย้ำว่าหากมีใครต้องการมีความขัดแย้งเราก็พร้อมเสมอ แต่รัสเซียไม่ต้องการความขัดแย้ง

ประการที่ 2.ในฐานะผู้บัญชาการสูงสุดตาม ตำแหน่งประธานาธิบดีรัสเซีย ตนได้รับรายงานสถานการณ์ในแนวรบอย่างต่อเนื่อง และได้หารือกับบรรดาผู้บัญชาการกองทัพวันละ 2-3 ครั้ง ตนสามารถสั่งการไปยังหน่วยพิเศษให้จัดการเรื่องต่างๆได้โดยตรง แต่ส่วนตัวมองว่าเป็นเรื่องไม่ถูกต้องที่ประธานาธิบดีจะเข้าไปแทรกแซงกองทัพ และสั่งงานบัญชาการหน่วยรบด้วยตัวเอง 3.จากการสู้รบที่ยังดำเนินไปอย่างต่อเนื่อง กองทัพยูเครนกำลังประสบปัญหาด้านกำลังพล พร้อมอ้างว่าเชลยศึกที่ถูกกองทัพรัสเซียจับกุมได้ทำให้เราพบว่า ยูเครนมีการจัดตั้งหน่วยรบที่สมาชิกประกอบด้วยกลุ่มช่างเทคนิคเครื่องบิน สิ่งนี้บ่งบอกอะไรเรา การระดมพลเริ่มติดขัดแล้วหรือไม่

ประการที่ 4.รัสเซียจะเสริมกำลังปกป้องสะพานคาบสมุทรไครเมียที่ถูกโจมตีเป็นระยะ และสังหารประชาชนผู้บริสุทธิ์ ซึ่งเบื้องต้นกองทัพรัสเซียได้ทำการตอบโต้ด้วยการโจมตีศูนย์การผลิตโดรนทางทะเลในยูเครน 5.รัสเซียถือเป็นตลาดข้าวสาลีที่มีความสำคัญยิ่งกว่ายูเครน สัดส่วนข้าวสาลีในตลาดโลกคิดเป็นของรัสเซียประมาณ 20% ขณะที่ของยูเครนคิดเป็น 5% แต่หลังจากนี้ยูเครนจะยิ่งผลิตได้น้อยลง เนื่องด้วยการระดมคนไปสู้รบ 6.ชาติยุโรปยังไม่ยอมอธิบายว่าทำไมถึงสกัดกั้นปุ๋ยของรัสเซีย ไม่ให้เราส่งออกจากยุโรปไปยังชาติกำลังพัฒนาจุดยืนของนายปูตินยังมีขึ้นในขณะที่กรุงมอสโกถูกโดรนยูเครนโจมตีรอบใหม่ มีอาคารพาณิชย์ในย่านการเงินและธุรกิจได้รับความเสียหาย แต่โชคดีไม่มีผู้ได้รับบาดเจ็บหรือเสียชีวิต

ขณะที่กระทรวงกลาโหมรัสเซียชี้แจงว่า กองทัพประสบความสำเร็จในการโจมตีทางอิเล็กทรอนิกส์ ป่วนระบบโดรนจนตกลงในพื้นที่ไร้ที่อยู่อาศัย ส่วนกระทรวงการต่างประเทศฮังการี ได้ออกแถลงการณ์เรียกร้องให้รัฐบาลยูเครนเปิดการเจรจากับรัสเซีย เพื่อปูทางสู่สันติภาพ พร้อมมองว่ายิ่งเวลาผ่านไป เงื่อนไขในการสงบศึกจะยิ่งแย่ลง ความขัดแย้งครั้งนี้ไม่มีทางออกทางการทหาร.