24 ธันวาคม 2568, กรุงเทพมหานคร – การจัดการเลือกตั้งของเมียนมาในวันที่ 28 ธันวาคม ซึ่งเป็นการเลือกตั้งระยะเริ่มต้นภายใต้การบริหารของกองทัพเมียนมา ถูกประเมินว่าไม่ใช่การเลือกตั้งที่เป็นระดับชาติอย่างแท้จริง และไม่สะท้อนเจตจำนงของประชาชน การเลือกตั้งดังกล่าวถูกมองว่าเป็นกระบวนการทางการเมืองที่มุ่งสร้างความชอบธรรมให้กับอำนาจทางการเมืองและเศรษฐกิจของกองทัพ มากกว่าการเปิดพื้นที่ประชาธิปไตยที่แท้จริง
ในทางตรงกันข้าม พื้นที่ที่อยู่ภายใต้การควบคุมของฝ่ายต่อต้านรัฐบาลทหารในหลายภูมิภาค ได้เริ่มพัฒนากลไกการบริหารที่มีลักษณะประชาธิปไตยมากขึ้น ตัวอย่างเช่น ในรัฐคะเรนนี ได้มีการจัดตั้งคณะบริหารชั่วคราวซึ่งประกอบด้วยผู้นำทางการเมือง ภาคประชาสังคม กลุ่มเยาวชน กลุ่มสตรี และกลุ่มติดอาวุธฝ่ายต่อต้าน โดยให้ความสำคัญกับการเป็นตัวแทนของพลเรือน การให้บริการสาธารณะ และการวางรากฐานทางรัฐธรรมนูญภายใต้กรอบสหพันธรัฐประชาธิปไตย

ในระดับประเทศ แนวทางการเปลี่ยนผ่านสู่สหพันธรัฐประชาธิปไตยถูกขับเคลื่อนโดยรัฐบาลเอกภาพแห่งชาติ ซึ่งประกอบด้วยผู้แทนที่มาจากการเลือกตั้งและภาคประชาสังคม รัฐบาลเอกภาพฯ ได้แสดงจุดยืนด้านการรวมกลุ่มชาติพันธุ์และศาสนาต่าง ๆ เข้าสู่โครงสร้างรัฐ รวมถึงชุมชนโรฮิงญา โดยมีการแต่งตั้งนักปกป้องสิทธิมนุษยชนชาวโรฮิงญาให้ดำรงตำแหน่งระดับรัฐมนตรีช่วย และเผยแพร่เอกสารนโยบายเกี่ยวกับอนาคตของชาวโรฮิงญาในเมียนมา
อย่างไรก็ตาม ยังมีข้อวิพากษ์เกี่ยวกับความล่าช้าในการปฏิบัติตามคำมั่นดังกล่าว โดยเฉพาะการขาดท่าทีต่อเหตุการณ์ความรุนแรงที่ยังคงเกิดขึ้นในรัฐยะไข่ หรือรัฐอาระกัน ซึ่งเป็นถิ่นฐานดั้งเดิมของชาวโรฮิงญา และเป็นพื้นที่ที่กำลังอยู่ภายใต้การเปลี่ยนแปลงทางอำนาจ หลังจากกองกำลังอาระกันและองค์กรทางการเมืองที่เกี่ยวข้องได้ขยายการควบคุมพื้นที่ส่วนใหญ่ของรัฐ และเริ่มวางกรอบการบริหารใหม่
แม้การถอยร่นของกองทัพเมียนมาซึ่งเป็นผู้กระทำความรุนแรงต่อชาวโรฮิงญาในปี 2560 จะถูกมองว่าเป็นพัฒนาการเชิงบวก แต่รายงานจากภาคสนามระบุว่ายังคงมีการละเมิดสิทธิมนุษยชนต่อพลเรือนชาวโรฮิงญาอย่างต่อเนื่อง รวมถึงการควบคุมตัว การทรมาน และการสังหาร แม้ฝ่ายที่ควบคุมพื้นที่จะปฏิเสธข้อกล่าวหาและยืนยันการเคารพสิทธิและศักดิ์ศรีของชาวโรฮิงญา
ผู้เชี่ยวชาญด้านสิทธิมนุษยชนและสันติภาพระบุว่า ความชอบธรรมของการบริหารในรัฐยะไข่ ทั้งในระดับท้องถิ่นและระดับนานาชาติ ขึ้นอยู่กับการยุติการกีดกันชาวโรฮิงญาและการนำไปสู่การมีส่วนร่วมทางการเมืองอย่างแท้จริง การสร้างสันติภาพในพื้นที่ยังจำเป็นต้องอาศัยการยุติความรุนแรงจากทุกกลุ่มติดอาวุธ รวมถึงการคุ้มครองพลเรือนและผู้ลี้ภัย
ข้อมูลจากผู้ลี้ภัยชาวโรฮิงญาในบังกลาเทศสะท้อนว่าความปรารถนาหลักคือการกลับคืนสู่รัฐยะไข่ภายใต้เงื่อนไขของการได้รับสิทธิ ความปลอดภัย และการยอมรับทางกฎหมาย ความสำเร็จของโครงการบริหารในรัฐยะไข่ และความน่าเชื่อถือของรัฐบาลเอกภาพแห่งชาติ จึงถูกมองว่าผูกโยงโดยตรงกับความสามารถในการเปลี่ยนถ้อยแถลงด้านความเท่าเทียมให้เป็นนโยบายที่เป็นรูปธรรม
นักวิเคราะห์การเมืองชี้ว่า อนาคตประชาธิปไตยของเมียนมาจะไม่ได้ถูกกำหนดโดยกระบวนการเลือกตั้งภายใต้รัฐบาลทหาร หากแต่จะขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของรัฐบาลเอกภาพแห่งชาติและพันธมิตรในระดับรัฐ ว่าจะเลือกเดินหน้าไปสู่โครงสร้างสหพันธรัฐประชาธิปไตยที่ยอมรับความหลากหลายทางชาติพันธุ์และศาสนาอย่างแท้จริง หรือปล่อยให้โอกาสในการสร้างสันติภาพและความยุติธรรมหลุดลอยไปอีกครั้ง
เนื้อหาโดย วณิชชา สุมานัส







