จับกุมเครือข่ายลําเลียงยาเสพติดจากพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เพื่อนํามาจําหน่ายและแพร่กระจายในพื้นที่ภาคกลางยึดของกลาง ยาบ้า กว่า 2,250, 000เม็ด
วันอังคารที่ 7 มิ.ย.65 เวลา 12.00 น. พล.ต.ท.จิรพัฒน์ ภูมิจิตร ผบช.ภ.1 พร้อมด้วย พล.ต.ต.ชยานนท์ มีสติ ผบก.ภ.จว.สระบุรี ร่วมแถลงข่าวผลการจับกุมเครือข่ายลําเลียงยาเสพติดจากพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เพื่อนํามาจําหน่ายและแพร่กระจายในพื้นที่ภาคกลาง ยึดของกลางยาบ้า กว่า 2,250,000 เม็ด โดยมีรายละเอียดดังต่อไปนี้
ได้จับกุมผู้ต้องหา 2 ราย ได้แก่ 1.นายสมพงษ์ สุรินทร์คำ อายุ 23 ปี อยู่บ้านเลขที่ 63 ซ.ลาดพร้าว 101 ซ.33 (หมู่บ้านสีฟ้า) แขวงคลองจั่น เขตบางกะปิ กรุงเทพมหานคร
2.นายพิทวัส ไชยสลี อายุ 23 ปี อยู่บ้านเลขที่ 39 ซ.โพธิ์แก้ว 3 แยก 13 แขวงคลองจั่น เขตบางกะปิ กรุงเทพมหานคร พร้อมด้วยของกลาง ดังนี้
(1) ยาเสพติดให้โทษประเภท 1 (เมทแอมเฟตามีนหรือยาบ้า) จำนวน 2,250,000 เม็ด (ตรวจยึดที่ ซ.หนองระแหง ๕ บริเวณหลังวัดแป้นทอง แขวงสามวาตะวันตก เขตคลองสามวา กรุงเทพมหานคร)
(2) รถยนต์กระบะทะเบียน 1ฒฬ 2570 กรุงเทพมหานคร จำนวน 1 คัน (ซึ่งใช้ในการขับนำสำรวจเส้นทาง)
(3) รถยนต์ตู้ทะเบียน 1นข 4280 กรุงเทพมหานคร จำนวน 1 คัน (ซึ่งใช้ในการลำเลียงยาเสพติดตรวจยึดได้ที่บริเวณภายในซอยฟารีดา คาร์เป็ก แขวงแสนแสบ เขตมีนบุรี กรุงเทพมหานคร ส่วนนายจิรายุทธฯ ผู้ขับขี่ และ น.ส.ทิพวรรณ ชัยเสนา ภรรยาของนายจิรายุทธฯ ที่นั่งมาด้วยหลบหนีไป)
โดยกล่าวหาว่า “ร่วมกันมียาเสพติดให้โทษประเภท 1 (ยาบ้าหรือเมทแอมเฟตามีน) ไว้ในความครอบครองโดยผิดกฎหมายอันก่อให้เกิดการแพร่กระจายในหมู่ประชาชน”
สถานที่จับกุม บริเวณสี่แยกห้วยบง พื้นที่อำเภอเฉลิมพระเกียรติ จังหวัดสระบุรี
ในชั้นจับกุม นายสมพงษ์ฯ และนายพิทวัสฯ รับสารภาพว่า ร่วมกับนายจิรายุทธฯ และ น.ส.ทิพวรรณฯ ลำเลียงยาเสพติดจากบริเวณชายแดนพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือเพื่อนำมาส่งให้กับผู้รับที่กรุงเทพมหานคร โดยจะได้ค่าจ้างในการลำเลียงยาเสพติด ครั้งละประมาณ 150,000 – 300,000 บาท ซึ่งยาบ้าหรือเมทแอมเฟตามีนของกลางหากนำไปจำหน่ายในท้องตลาดจะมีมูลค่าสูงถึงประมาณ 100,000,000 บาทเศษ
ทั้งนี้เจ้าหน้าที่ตำรวจจะได้สืบสวนขยายผลถึงบุคลในเครือข่ายยาเสพติดรวมถึงติดตามยึดทรัพย์สินที่เกี่ยวเนื่องกับการกระทำผิดต่อไป
โดยมี ป.ป.ส. ภาค 1 และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง ร่วมแถลงข่าว ณ บริเวณหน้าอาคารอเนกประสงค์ ภ.1
อย่างไรก็ตาม วันนี้ ตำรวจยังได้เชิญหน่วยงานกระทรวงสาธารณสุข สถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติ (สพฉ.) ผู้บังคับการ 9 จังหวัดในกองบัญชาการตำรวจภูธรภาค 1 และมูลนิธิกู้ภัย 9 จังหวัด มาวางแนวทางจัดระเบียบรถพยาบาลฉุกเฉิน และรถกู้ภัย เนื่องจากมีบางส่วนที่ยังไม่เข้าสู่ระบบการขึ้นทะเบียนกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อย่าง สพฉ. ทำให้ไม่สามารถดูแลได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งในรายละเอียด จะให้แต่ละหน่วยงานเสนอแนวทางการแก้ไขปัญหา โดยมีตำรวจเป็นตัวกลาง เพื่อให้ทุกฝ่ายทำงานประสานสอดคล้อง เป็นแนวทางเดียวกัน
ผบช.ภ.1 ลั่นสั่งตำรวจตรวจเข้มรถกู้ชีพ-กู้ภัย 9 จังหวัดไม่ติดสังกัดชัดเจน หากพบกระทำผิดจับดำเนินคดีทันที!! พร้อมประสานทุกหน่วยงาน เก็บรวบรวมมูลรถกู้ชีพ ส่งสตช. ภายใน 30 วัน
พล.ต.ต.จิรพัฒน์ ระบุหลังการประชุมร่วมกับ หน่วยงานที่เกี่ยวจ้อง ทั้งตัวแทนกระทรวงสาธารณสุข ตัวแทนสถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติ (สพฉ.)
ผู้บังคับการ 9 จังหวัดในกองบัญชาการตำรวจภูธรภาค 1 และมูลนิธิกู้ภัย 9 จังหวัด ว่า หลังจากนี้จะมีการรวบรวมข้อมูล การขอใบอนุญาติที่ถูกต้องของรถลำเลียงผู้ป่วย รถ สพฉ. รวมถึงรถที่อยู่ในความดูแลของ อบต. และ อบจ. ซึ่งขณะนี้ยังไม่ทราบจำนวนที่แน่ชัด หากมีข้อมูลครบถ้วนแล้วก็จะรวบรวมไปยังสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เพื่อใช้เทคโนโลยีมาช่วยจัดเก็บและตรวจสอบข้อมูล โดยเบื้องต้น ได้สั่งการ ภูธรจังหวัด ทั้ง 9 จังหวัด ให้รวบรวมข้อมูลให้แล้วเสร็จภายใน 30 วัน
#พร้อมกำชับให้กวดขันรถที่มีลักษณะคล้ายรถพยาบาลแต่ไม่ติดสังกัดให้ชัดเจน
นนทบุรี ปทุมธานี สระบุรี อยุธยา สมุทรปราการ ลพบุรี ชัยนาท สิงห์บุรี อ่างทอง
ตำรวจภูธร ภาค1
#สรุปที่ประชุม ตำรวจภูธรภาค1
-ขอรายชื่อ รถ และ รายชื่อ อาสาสมัคร ส่งที่ภูธรจังหวัด รวมถึงรถสนับสนุนที่ติดสัญญานไฟ
-ตำรวจจะเริ่มบังคับใช้กฎหมาย กับ รถฉุกเฉิน กรณีรถที่ไม่ติดสติกเกอร์บ่งบอกหน่วยงาน รวมไปถึงอาจจะขอตรวจสอบรถในขณะที่รถเปิดสัญญานไฟและเสียง ขอให้อาสาสมัครให้ความร่วมมือ
-การแต่งกาย ขณะ ว4 ขอให้แต่งกายตามกฎระเบียบของแต่ละหน่วยงาน
-กรณีรถที่ได้รับอนุญาติให้เตรียมเอกสารไว้ที่รถเพื่อง่ายต่อการตรวจสอบ
-วิ่งข้ามจังหวัด หากเปิดสัญญาญ ว9 ประสาน191 เเจ้งข้อมูลเส้นทางที่จะไป